สัมพันธไมตรีกับจักรพรรดิฟรีดริช บาร์บาร็อสซา ของ ไฮน์ริชที่ 12 ดยุกแห่งบาวาเรีย

ภาพวาดร่วมยุคของไฮน์ริชสิงห์จาก ฮิสตอริอาเว็ลฟอรูง

แลกกับสิ่งที่ได้มา ไฮน์ริชให้การสนับสนุนพระเจ้าฟรีดริช บาร์บาร็อสซาเป็นเวลา 20 ปี เขาติดตามพระองค์ไปพร้อมกับกองทัพใหญ่เพื่อไปทำสงครามอิตาลีครั้งแรกในปี ค.ศ. 1154/55 และหลังการราชาภิเษกเป็นจักรพรรดิของฟรีดริช เขาได้ปราบปรามการลุกฮือของชาวโรมัน ในปี ค.ศ. 1157 เขามีส่วนร่วมในการเดินทางไปทำศึกกับชาวโปลของจักรพรรดิฟรีดริช ในช่วงการทำสงครามอิตาลีครั้งที่สอง ไฮน์ริชให้ความช่วยเหลืออันล้ำค่าแก่จักรพรรดิในการปิดล้อมโจมตีเครมาในปี ค.ศ. 1160 และในการทำสงครามกับชาวเมืองมิลานในปี ค.ศ. 1161

หนึ่งปีหลังได้บาวาเรียกลับคืนมา ไฮน์ริชวางรากฐานให้นครมิวนิกด้วยการสร้างตลาดแห่งใหม่ขึ้นมาริมแม่น้ำอีซาร์ แต่เป้าหมายหลักของเขาคือการขยายดัชชีซัคเซินออกไปนอกแม่น้ำเอ็ลเบอ ในปี ค.ศ. 1159 เขาสร้างนครลือเบ็คขึ้นมาใหม่ในอาณาเขตที่ได้มาจากอาด็อล์ฟที่ 2 เคานต์แห่งฮ็อลชไตน์ ซึ่งเป็นคนแรกที่ก่อตั้งลือเบ็คขึ้นมาในปี ค.ศ. 1143 สนธิสัญญาต่าง ๆ ที่ทำกับพ่อค้าในกอตลันด์และเจ้าชายแห่งสวีเดนกับเจ้าชายแห่งนอฟโกรอดทำให้เขาผลักดันให้ลือเบ็คเป็นศูนย์กลางทางการค้า ในปี ค.ศ. 1160 ตำแหน่งบิชอปแห่งอ็อลเดินบวร์คก็ถูกย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1158 เป็นต้นมาไฮน์ริชออกไปปราบโอโบไดร์ตของชาวสลาฟได้หลายครั้ง ขยายอำนาจไปทั่วเมคเลินบวร์ค เปิดทางให้ดินแดนดังกล่าวถูกเปลี่ยนให้นับถือศาสนาคริสต์และกลายเป็นอาณานิคม

ในปี ค.ศ. 1160 ชเวรีนกลายเป็นที่ตั้งของตำแหน่งบิชอปแห่งเมคเลินบวร์คและได้รับอภิสิทธิ์ในฐานะนคร แม้แต่เจ้าชายของพอเมอเรเนียตะวันตกก็ยอมรับอำนาจอธิปไตยตามระบอบศักดินาของไฮน์ริชอยู่ระยะหนึ่ง เมื่อพระเจ้าแวลเดอมาร์ที่ 1 แห่งเดนมาร์กพิชิตเกาะรือเกินในทะเลบอลติกได้ การต่อสู้แย่งชิงที่ลากยาวระหว่างพระองค์กับไฮน์ริชก็อุบัติขึ้นและดำเนินไปจนถึงปี ค.ศ. 1171 เมื่อความขัดแย้งได้รับการแก้ไขและบุตรสาวของไฮน์ริชได้แต่งงานกับพระโอรสของพระเจ้าแวลเดอมาร์

ในช่วงเวลาดังกล่าวไฮน์ริชยังเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของตนในซัคเซินด้วยการแย่งชิงเอาทรัพย์สินที่ดินของหลายราชวงศ์ที่สิ้นสุดไปแล้วมาโดยไม่สนใจการอ้างสิทธิ์ตามสายเลือดจากตระกูลอื่น เขาตั้งเบราน์ชไวค์เป็นเมืองหลวงในการปกครองและตั้งรูปปั้นสิงโตหน้าปราสาทที่เขาสร้างเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลและเครื่องหมายแห่งอำนาจอธิปไตย แต่นิสัยหยิ่งผยองและชอบที่จะมุ่งแสวงหาสิ่งต่าง ๆ ให้ตัวเองปลุกปั่นให้เกิดศัตรู ช่วงแรกของกลางคริสต์ทศวรรษ 1150 เจ้าชายแซ็กซันหลายคนเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับเขา สิบปีต่อมากลุ่มพันธมิตรที่นำโดยอัลเบร็ชท์ที่ 1 หมี มาร์เกรฟแห่งบรันเดินบวร์คและอาร์ชบิชอปแห่งโคโลญกลายเป็นภัยคุกคามครั้งร้ายแรง แต่หลังจากจักรพรรดิเข้ามาแทรกแซงในปี ค.ศ. 1168 ซัคเซินก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง

พิธีแต่งงานของไฮน์ริชสิงห์กับมาทิลดาแห่งอังกฤษ ค.ศ. 1188

ในตอนนั้นเองที่ไฮน์ริชขึ้นสู่จุดสูงสดทางอำนาจ ต้นปี ค.ศ. 1168 เขาแต่งงานกับมาทิลดา พระธิดาของพระเจ้าเฮนรีที่ 2 แห่งอังกฤษ[1] และหลังจากนั้นไม่นานก็ถูกส่งตัวไปฝรั่งเศสและอังกฤษในฐานะราชทูตของจักรพรรดิฟรีดริชที่ 1 เพื่อปฏิบัติภารกิจหาทางสงบศึกระหว่างสองชาติ ในปี ค.ศ. 1172 เขาจาริกแสวงบุญไปเยรูซาเลมพร้อมกับผู้ติดตามกลุ่มใหญ่และจักรพรรดิไบเซนไทน์มานูเอลที่ 1 คอมเนนุสจัดงานเลี้ยงใหญ่ให้ที่คอนสแตนติโนเปิล

ในปี ค.ศ. 1176 เมื่อจักรพรรดิฟรีดริช บาร์บาร็อสซาขอการสนับสนุนในการต่อกรกับนครลอมบาร์ดในอิตาลีเหนือ รางวัลที่ไฮน์ริชต้องการแลกกับการช่วยเหลือจักรพรรดิคือนครกอสลาร์อันสำคัญของจักรวรรดิพร้อมกับเหมืองเงิน แต่จักรพรรดิฟรีดริชปฏิเสธที่จะยกให้ จึงเป็นต้นเหตุให้สัมพันธไมตรีอันยาวนานกับไฮน์ริชถึงคราวสิ้นสุดลง